Tee Padungsak
4 min readNov 16, 2020

ความไม่มีตัวตน (อนัตตา)

ไตรลักษณ์

สิ่งทั้งหลายทั้งปวงประกอบอยู่ด้วยลักษณะอันเรียกว่า "ไตรลักษณ์" หรือลักษณะ 3 ประการคือ

1.อนิจจัง แปลว่า ไม่เที่ยง มีหมายความว่า สิ่งทั้งหลายมีลักษณะเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอไป ไม่มีความคงที่ตายตัว

2.ทุกขัง แปลว่า เป็นทุกข์ มีหมายความว่า สิ่งทั้งหลายทั้งปวงมีลักษณะที่เป็นทุกข์มองดูแล้วน่าสังเวชใจ ทำให้เกิดความทุกข์ใจแก่ผู้ที่ไม่มีความเห็นอย่างแจ้มแจ้งในสิ่งนั้นๆ

3.อนัตตา แปลว่าไม่ใช่ตัวตน มีความหมายว่า ทุกสิ่งทุกอย่างไม่มีความหมายแห่งความเป็นตัวเป็นตน ไม่มีลักษณะอันใดที่จะทำให้เรายึดถือได้ว่ามันเป็นตัวเราของเรา ถ้าเห็นอย่างแจ่มแจ้งชัดเจนถูกต้องแล้ว ความรู้สึกที่ว่า "ไม่มีตน" จะเกิดขึ้นมาเองในสิ่งทั้งปวง แต่ที่เราไปหลงเห็นว่าเป็นตัวเป็นตนนั้น ก็เพราะความไม่รู้อย่างถูกต้องนั่นเอง

อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นี้คือการประกาศความจริงออกไปว่า "สิ่งปรุงแต่งทั้งปวงไม่เที่ยง สิ่งปรุงแต่งทั้งปวงเป็นทุกข์ สิ่งทั้งปวงไม่ใช่ตัวตน"

ขอให้ทราบว่า ลักษณะสามัญ 3 ประการนี้ พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนมากกว่าคำสั่งสอนอื่นๆ ในบรรดาคำสั่งสอนทั้งหลายจะนำมารวบยอดอยู่ที่การเห็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา นี้ทั้งนั้น บางทีก็กล่าวตรงๆ บางทีก็พูดด้วยโวหารอย่างอื่น แต่ใจความมุ่งแสดง ความจริงอย่างเดียวกัน

เมื่อได้กล่าวถึงหลักที่ว่า เราต้องรู้ว่าสิ่งทั้งปวงเป็นอะไร และต้องปฏิบัติอย่างไร จึงจะตรงต่อกฏธรรมชาติของสิ่งทั้งปวง ดังนี้แล้ว หลักในพระบาลีก็มีอีกพวกหนึ่งเรียกว่า โอวาทปาฏิโมกข์ แปลว่า คำสอนที่เป็นประธานของคำสอนทั้งหมด มีอยู่ 3 ข้อสั้นๆ คือ ไม่ทำความชั่วทั้งปวง ทำความดีให้เต็มที่ และทำจิตใจให้สะอาด ปราศจากความเศร้าหมอง นี้เป็นหลักสำหรับปฏิบัติ

เมื่อรู้ว่าสิ่งทั้งปวงไม่เที่ยง เป็นทุกข์ ไม่ใช่ตัวตน ยึดถือไม่ได้ และไปหลงใหลด้วยไม่ได้ เราต้องปฏิบัติต่อสิ่งทั้งปวงให้ถูกต้องด้วยความระมัดระวัง คือเว้นจาการทำชั่ว หมายถึง การละโมบ โลภลา๓ด้วยกิเลส ไม่ลงทุนด้วยการฝืนศิลธรรมขนบธรรมเนียมต่างๆ เพื่อไปทำความชั่ว อีกทางหนึ่งนั้นให้ทำแต่ความดีตามทีบัณฑิตสมมติตกลงกันว่าเป็นคนดี แต่ทั้งสองข้อนี้เป็นเพียงขั้นศิลธรรม ข้อที่สามที่ว่า ทำจิตใจให้บริสุทธิ์หมดจดจากเครื่องเศร้าหมองโดยประการนั้นนั่นแหละ เป็นตัวพุทธศาสนาโดยตรง หมายความว่าทำจิตใจให้เป็ฯอิสระ ถ้ายังไม่เป็นอิสระจากอำนาจครอบงำของสิ่งทั้งปวงแล้ว จะเป็นจิตใจที่สะอาดบริสุทธิ์ไปไม่ได้ จิตจะเป็ฯอิสระก็ต้องมาจากความรู้ อะไรเป็น อะไรถึงที่สุด ถ้ายังไม่รู้จะไปหลงรัก หรือหลงชังอย่างใดอย่างหนึ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ แล้วจะเรียกว่าเป็นอิสระแท้จริงได้อย่างไร คนเรามีความรู้สึกอยู่สองอย่างเท่านั้น คือความพอใจกับไม่พอใจ (อภิชฌา และโทมนัส)

ความเชื่อเรื่องอัตตา

สิ่งที่คนทั่วไปเข้าใจ “ วิญญาณ ” “ อัตตา ” “ ตัวตน ” หรือที่ภาษาสันสกฤต ใช้ว่า “ อาตมัน ” นั้น คือ สิ่งที่มีอยู่ในตัวมนุษย์ เป็นสิ่งถาวร ยั่งยืน และสมบูรณ์แบบ เป็นแก่นสารที่คงอยู่เบื้องหลังโลกที่แสดงปรากฏการณ์ของการเปลี่ยนแปลง ในบางศาสนาเชื่อว่ามนุษย์แต่ละคนมีวิญญาณที่พระเจ้าสร้างไว้ให้ และในที่สุดหลังจากตายแล้ว วิญญาณนี้ก็จะไปสถิตชั่วนิจนิรันดร์ในนรกหรือสวรรค์ ชะตากรรมของวิญญาณขึ้นอยู่กับคำพิพากษาของพระผู้สร้าง ส่วนในบางศาสนาก็เชื่อว่า วิญญาณผ่านการมีชีวิตมาหลายครั้งจนกว่าจะถูกชำระให้บริสุทธิ์ผุดผ่อง และในที่สุดก็จะเข้าไปอยู่ร่วมกับพระเจ้าหรือพระพรหม กล่าวคือ วิญญาณแห่งจักรวาล หรืออาตมันซึ่งเป็นแหล่งกำเนิดของตน วิญญาณ หรืออัตตา เป็นผู้คิดเป็นผู้รับรู้อารมณ์และเป็นผู้รับคุณและโทษจากกรรมดีและกรรมชั่วของตนความเชื่อเช่นนี้เรียกว่าความเชื่อมีตัวตน (อัตตวาท)

บ่อเกิดของความเดือนร้อนในโลก

พระพุทธศาสนามีเอกลักษณ์พิเศษ ในประวัติศาสตร์ความคิดของมนุษย์ว่าเป็นศาสนาที่ปฏิเสธความมีอยู่ของวิญญาณ อัตตาหรือตัวตนตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ความคิดว่ามีอัตตานี้เป็นความเชื่อที่ผิด เกิดจากการใช้จินตนาการ ซึ่งไม่ตรงกับความเป็นจริงและก่อให้เกิดความคิดชั่วร้าย “ ตัวเรา ” และ “ ของเรา ” ก่อให้เกิดความอยากที่เห็นแก่ตัว ความทะยานอยาก ความคิดบึด ความโกรธ ความพยาบาท ความทะนงตัว ความถือดี ความหลงตน ตลอดจนกิเลสาสวะและปัญหาอื่นๆ รวมทั้งเป็นบ่อเกิดของความเดือนร้อนทั้งหลายทั้งปวงในโลกนับแต่ความขักแย้งระหว่างบุคคลจนถึงสงครามระหว่างประชาชาติ สรุปว่า ความชั่วทั้งปวงในโลกมีบ่อเกิดมาจากความเห็นผิดนี้เอง

มนุษย์สร้างพระเจ้า

ในจิตมนุษย์มีความคิดที่หยั่งรากลงลึกอยู่ด้วยกัน 2 ประการ คือ (1) ความคิดต้องการปกป้องตนเอง และ (2) ความคิดต้องการรักษาตนเอง จากความคิดต้องการปกป้องตนเองนี้ มนุษย์จึงได้สร้างพระเจ้าขึ้นมา ซึ่งตนจะได้พึ่งพาอาศัยเพื่อปกป้องคุ้มครอง เพื่อความปลอดภัยและเพื่อความมั่นคงตนเองดุจเดียวกับทารกพึ่งพาอาศัยบิดามารดาของตน ฉะนั้นจากความคิดต้องการรักษาตนเองนั้นมนุษย์สร้างแนวความคิดว่า มีวิญญาณหรืออาตมันที่เป็นอมฤตมีชีวิตอยู่ชั่วนิรันดร์ ด้วยเหตุมีอวิชชา ความอ่อนแอ ความกลัว ความอยากนี้เอง มนุษย์จึงต้องการ 2 สิ่งนี้มาช่วยปลอบประโลมใจและยึดติดกับ 2 สิ่งนี้ อย่างเหนียวแน่นและโงหัวไม่ขึ้น

คำสอนของพระพุทธเจ้าไม่สนับสนุนให้มีอวิชชาความอ่อนแอ ความกลัว และความอยากเหล่านี้ แต่มีจุดมุ่งหมายเพื่อให้มนุษย์ได้ตรัสรู้ด้วยการกำจัดและทำลายสิ่งเหล่านี้อย่างขุดรากถอนโคนเลยที่เดียว ตามหลักของพระพุทธศาสนา ความคิดของเราที่ว่ามีพระเจ้าและมีอัตตานี้เป็นความคิดที่ผิดและว่างเปล่าไร้สาระ แม้ว่าแนวความคิดเหล่านี้จะได้พัฒนามาเป็นทฤษฎีไปแล้ว แต่ก็ล้วนเป็นจินตนาการที่ละเอียดลึกซึ่งยากแก่การเข้าใจ แนวความคิดเหล่านี้ได้ฝังรากลึกอยู่ในมนุษย์ เป็นสิ่งที่มนุษย์มีความสนิทชิดเชื้อมาก จนไม่ต้องการได้ยิน ไม่ต้องการเข้าใจคำสอนใดๆ ที่โต้แย้งกับความคิดเหล่านี้

ธรรมทวนกระแส

พระพุทธเจ้าทราบเรื่องนี้เป็นอย่างดี อันที่จริงนั้นพระพุทธองค์ตรัสคำสอนของพระองค์ “ ทวนกระแส ” (ปฏิโสตคามิ) คือ ทวนกระแสความอยากด้วยความเห็นแก่ตัวของมนุษย ์หลังจากทรงตรัสรู้ได้เพียง 4 สัปดาห์ พระองค์ประทับนั่งที่ใต้ไทรต้นหนึ่ง ทรงรำพึงกับพระองค์เองว่า “ เราได้ตรัสรู้สัจธรรมนี้แล้ว อันเป็นสัจธรรมที่ลึกซึ่งยากแก่การรู้เห็น ยากแก่การเข้าใจ...บัณฑิตเท่านั้นจึงจะเข้าใจได้...มนุษย์ทั้งหลายมีกิเลสครอบงำมีมวลความมืดห้อมล้อม จึงไม่สามารถมองเห็นสัจธรรมนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ทวนกระแส มีความสูงส่ง ลึกล้ำ ละเอียด และยากแก่การเข้าใจ"

ด้วยทรงมีพระดำริในพระทัยเช่นนี้ พระพุทธเจ้าจึงทรงลังเลไปชั่วขณะ ด้วยความไม่แน่พระทัยว่าจะล้มเหลวหรือไม่หนอ ถ้าหากพระองค์จะทรงพยายามอธิบายสัจธรรมที่พระองค์เพิ่งตรัสรู้นั้นแก่ชาวโลก จากนั้นพระองค์ได้ทรงเปรียบเทียบโลกกับสระบัวว่าในสระบัวแห่งหนึ่ง มีดอกบัวบางดอกอยู่ใต้น้ำ บางดอกโผล่ขึ้นมาอยู่เสมอกับระดับน้ำ และบางดอกโผล่ขึ้นมาพ้นพื้นน้ำ ในทำนองเดียวกันในโลกนี้มีมนุษย์ผู้มีระดับการพัฒนาแตกต่างกัน คงจะมีบ้างที่จะเข้าใจสัจธรรมนี้ได้ ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงได้ตัดสินพระทัยสอนสัจธรรมนั้น

หลักอนัตตาหรือความไม่มีตัวตนนี้ เป็นผลพวงสอดคล้องกับการวิเคราะห์เบญจขันธ์ และหลักการอาศัยกันและกันเกิดขึ้น (ปฏิจจสมุปฺปาท)

วิเคราะห์ขันธ์ 5

ดังที่ได้ทราบมาแต่ต้นในตอนที่อภิปรายเกี่ยวกับอริยสัจจ์ข้อที่ 1 (ทุกข์) นั้นแล้ว สิ่งที่เราเรียกว่า สิ่งที่เราเรียกว่า สัตว์หรือบุคคลประกอบด้วยขันธ์ 5 และเมื่อนำขันธ์ 5 นี้มาวิเคราะห์และตรวจสอบแล้วไม่มีสิ่งใดอยู่เบื้องหลังที่สามารถยึดถือได้ว่าเป็น “ เรา ” “ อาตมัน ” “ ตัวตน ” หรือเป็นแก่นสารที่คงทน ไม่เกิดการเปลี่ยนแปลง แบบนี้เป็นวิธีอธิบายในเชิงวิเคราะห์ผล เช่นเดียวกันนั้นก็สรุปได้เมื่อใช้กับหลักปฏิจจสมุปบาท ซึ่งเป็นการใช้วิธีอธิบายเป็นเชิงสังเคราะห์และตามหลักการนี้คือ ทฤษฎีสัมพันธภาพของพระพุทธศาสนา

ปฏิจจสมุปบาท

ก่อนที่เราจะเข้าสู่ปัญหาในเรื่อง “ อนัตตา ” แท้ ๆ นั้น คงจะเป็นประโยชน์ ถ้าเราได้รู้แนวความคิดเกี่ยวกับปฏิจจสมุปบาทเอาไว้บ้างหลักปฏิจจสมุปบาทนี้มีคำอธิบายเป็นสูตรสำเร็จอยู่ 4 บรรทัดดังนี้

เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนั้นจึงมี (อิมสฺมึ สติ อิทํ โหติ)

เมื่อสิ่งนี้เกิด สิ่งนั้นจึงเกิด (อิมสฺสุปฺปาทา อิทํ อุปฺปชฺชติ)

เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนั้นก็ไม่มี (อิมสฺมึ อสติ อิทํ น โหติ)

เมื่อสิ่งนี้ดับ สิ่งนั้นก็ดับ (อิมสฺส นิโรธา อิทํ นิรุชฌติ)

โดยหลักของการเป็นเหตุปัจจัย มีความเชื่อมโยง และอิงอาศัยซึ่งกันและกันนี้ ความมีเป็นและความต่อเนื่องของชีวิตทั้งสิ้นรวมทั้งความดับของสิ่งเหล่านั้น มีคำอธิบายแยกแยะเป็นสูตรสำเร็จเรียกว่า ปฎิจจสมุปบาท (การอาศัยกันและกันเกิดขึ้น) ซึ่งประกอบด้วยองค์ประกอบ 12 อย่างด้วยกัน (รายละเอียดเพิ่มเติม)

สัจจะ 2 ประการ

เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน จึงใคร่จะกล่าวไว้ในที่นี้ว่า สัจจะมีอยู่ 2 อย่าง คือ จริงโดยสมมติ (สม . มุตสจ . จ) และจริงโดยปรมัตถ์ (ปรมตถสจจ) สันสกฤตว่า ปรมารถสตย) เมื่อเราใช้คำพูดในชีวิตประจำวัน เช่น “ เรา ” “ ท่าน ” “ สัตว์ ” “ บุคคล ” ฯลฯ เราไม่ได้โกหกกัน เพราะไม่มีตัวตนหรือสัตว์เช่นนั้น แต่เราพูดความจริงตามสมมุติของชาวโลก แต่สำหรับทางปรมัตถสัจจ์แล้ว ไม่มี “ เรา ” หรือ “ สัตว์ ” ในความจริงแท้ ดังที่กล่าวไว้ในมหายานสูตราลังการ ว่า “ บุคคล ” (ปุท.คล) เรียกว่ามีอยู่โดยแต่เพียงการบัญญัติ (โดยการสมมุติว่าอยู่) แต่ในความเป็นจริงแล้ว ไม่มีบุคคล (แก่นสารที่แท้จริง, ทวายะ) ”

การปฏิเสธความมีอยู่ของอาตมันที่เที่ยงแท้นี้ เป็นลักษณะร่วมที่มีอยู่ในทุกระบบความเชื่อดั้งเดิมของทั้งฝ่ายหีนยานและฝ่ายมหายาน ดังนั้น จึงไม่มีเหตุผลอันใดที่จะไปสันนิษฐานว่า ความเชื่อของชาวพุทธที่สอดคล้องกันในประเด็นนี้ เป็นความเชื่อที่เบี่ยงเบนจากคำสอนดั้งเดิมของพระพุทธเจ้า

ผู้แสวงหา

เป็นที่น่าสนใจว่า เมื่อเร็ว ๆ นี้ได้มีนักปราชญ์บางคนได้ประสบความล้มเหลว เมื่อพยายามสอดแทรกแนวความคิดว่ามีตัวตนนี้เข้าไปในคำสอนของพระพุทธเจ้า ทั้ง ๆ ที่มันเป็นเรื่องที่แย้งกับเนื้อแท้ของพระพุทธศาสนา นักปราชญ์เหล่านี้มีความเคารพยกย่องและนับถือพุทธเจ้าและคำสอนของพระองค์ จึงได้หันเข้ามาหาพุทธศาสนา แต่ท่านเหล่านั้นไม่ยอมคิดว่า พระพุทธเจ้าผู้ที่พวกตนถือว่าเป็นนักคิดที่บริสุทธิ์และลึกซึ้งที่สุดนี้ จะปฏิเสธความมีอยู่ของอาตมันหรือตัวตนซึ่งเป็นสิ่งที่พวกตนต้องการมาก คนเหล่านี้จึงได้พยายามหาความสนับสนุนจาก (คำสอน) ของพระพุทธเจ้า เพื่อนำมาสนองความต้องการที่ว่ามีสิ่งที่เป็นนิรันดร์ และสิ่งที่เป็นนิรันดร์นี้ไม่ใช่อัตตาเล็ก ๆ ที่มีอยู่ในบุคคลเสียอีกด้วย แต่เป็นอัตตาใหญ่

ผู้ที่เชื่อว่ามีอาตมันหรือตัวตนนั้น ความจริงแล้วน่าจะพูดออกมาตรง ๆ ว่าตนมีความเชื่อนั้น หรือไม่เช่นนั้นก็อาจจะพูดไปเลยว่าพระพุทธเจ้าทรงเป็นฝ่ายผิดพลาดโดยสิ้นเชิงที่ทรงปฏิเสธความมีอยู่ของอาตมัน แต่ไม่เป็นการสมควรอย่างยิ่งที่ใคร ๆ จะไปพยายามนำแนวคิดที่พระพุทธองค์ไม่ทรงยอมรับเข้าไปแทรกไว้ในพระพุทธศาสนา ทั้งนี้เท่าที่ได้พิจารณาจากคัมภีร์ดั้งเดิมต่าง ๆ เท่าที่มีอยู่

ศาสนาต่าง ๆ ที่เชื่อว่ามีพระเจ้าและมีวิญญาณนั้น จะไม่ปกปิดสองเรื่องนี้ไว้เป็นความลับ แต่จะประกาศออกมาตรง ๆ และซ้ำแล้วซ้ำเล่าด้วยการใช้ศัพท์ที่ไพเราะเพราะพริ้งยิ่ง หากว่าพระพุทธเจ้าทรงยอมรับแนวคิดว่ามีพระเจ้าหรือมีวิญญาณในทั้งสองอย่างนี้ ดังที่ถือว่ามีความสำคัญอยู่ในทุกศาสนา พระองค์ก็จะต้องประกาศออกมาให้สาธารณชนได้รู้อย่างที่พระองค์ตรัสเกี่ยวกับสิ่งอื่น ๆ พระองค์คงไม่ทรงปล่อยให้มันซ่อนเร้นอยู่ เพื่อให้คนอื่นมาค้นพบ หลังจากทรงปรินิพพานไปแล้วสองพันห้าร้อยปีเป็นแน่

กลัวในสิ่งที่ไม่น่ากลัว

คนทั้งหลายเกิดความตื่นตระหนกกับแนวคิดในคำสอนเรื่อง “ อนฺตตา ” ของพระพุทธเจ้า ทั้งนี้เพราะคิดว่า อัตตาที่ตนจินตนาการว่าตนเองมีอยู่นั้น กำลังจะถูกทำลายไป ซึ่งพระพุทธองค์ทรงตระหนักถึงข้อนี้เป็นอย่างดี

สมัยหนึ่ง มีภิกษุรูปหนึ่งได้ทูลถามพระพุทธองค์ว่า “ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ มีกรณีของใครบ้างหรือไม่ ที่เมื่อไม่พบว่ามีสิ่งที่เที่ยงแท้ในตนแล้วเกิดความทุกข์ทรมาน ”

“ ดูกรภิกษุ กรณีเช่นนี้มีอยู่ ” พระพุทธองค์ทรงตรัส “ คือมีชายผู้หนึ่งมีความเห็นอย่างนี้ว่า “ จักรวาลคืออาตมัน เราจะเป็นอาตมันหลังจากตายไป อาตมันเป็นสิ่งยั่งยืน ถาวร ดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์ และไม่มีการเปลี่ยนแปลง และเราเองก็จะดำรงอยู่เช่นนั้นได้ชั่วนิจนิรันดร์ ” ชายผู้นั้นได้ยินว่าตถาคตหรือสาวกสอนหลักการทีมุ่งทำลายความเห็นที่เกิดจากความคาดคะเนทั้งหลายทั้งปวงโดยสิ้นเชิง...สอนหลักการที่มุ่งดับตัณหา...มุ่งคลายกำหนัด ความดับและนิพพาน ชายผู้นั้นจึงคิดว่า “ เราจะถูกทำลาย เราจะถูกล้างผลาญ จะไม่มีเราอีกอยู่ต่อไป ” ด้วยเหตุนี้เขาจึงเศร้าโศก วิตกกังวลคร่ำครวญ ร้องไห้ ทุบอก และมึนงง ดูกรภิกษุ นี่แหละคือกรณีของผู้ที่ได้รับความทุกข์ทรมาน เมื่อไม่พบว่ามีสิ่งที่ยั่งยืนอยู่ในตนเอง ”

อีกแห่งหนึ่ง พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า “ ดูกรภิกษุทั้งหลายความคิดที่ว่า “ เราอาจจะไม่เป็น เราอาจจะไม่มี ” นี้ เป็นที่หวาดหวั่นของชาวโลกที่ยังไม่รู้เรื่องนี้ดี ”

มีผู้ที่ต้องการค้นหา “ อัตตา ” ในพระพุทธศาสนา ได้โต้แย้งว่าเป็นความจริงที่ว่าพระพุทธเจ้าทรงวิเคราะห์ว่า รูป เวทนา สัญญา สังขาร และวิญญาณ มีอยู่ และตรัสว่า สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ไม่มีสิ่งใดที่มีตัวตนแต่พระองค์ไม่ได้ตรัสเลยว่า ไม่มีอัตตาในมนุษย์หรือในที่อื่น นอกเหนือจากขันธ์ 5 เหล่านี้

ข้อโต้แย้งนี้ฟังไม่ขึ้นด้วยเหตุผล 2 ประการ คือ

1.เหตุผลประการแรก ในคำสอนของพระพุทธเจ้า บุคคลประกอบด้วยขันธ์ 5 เหล่านี้ และไม่มีสิ่งอื่นใดนอกไปจากนี้ ไม่มีในที่ใดเลยที่พระองค์ทรงตรัสว่า ในคนและสัตว์มีสิ่งอื่นใดนอกจากขันธ์ 5

2.เหตุผลประการที่ 2 พระพุทธเจ้าทรงปฏิเสธโดยปราศจากเยื่อใย ในที่ต่าง ๆ มากกว่าหนึ่งแห่งว่า ไม่มีอาตมัน วิญญาณ อัตตา หรือตัวตนในภายในมนุษย์ ภายนอกมนุษย์ หรือในที่แห่งใดแห่งหนึ่งในจักรวาล ดังจะขอยกบางตัวอย่างมาแสดงดังนี้

ตีความในพระธรรมบท

ในพระธรรมบท มีคาถาอยู่ 3 คาถา ซึ่งมีความสำคัญยิ่งและเป็นแก่นแท้ในคำสอนของพระพุทธเจ้า คือคาถาที่ 5 คาถาที่ 6 และคาถาที่ 7 บทที่ 20 (หรือ คาถาที่ 277 , 278 , 279) สองคาถาแรกว่า

“ สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง (สฺพเพ สฺงขารา อนิจจา) ”

“ สังขารทั้งปวงเป็นทุกข์ (สฺพเพ สฺงขารา ทุกขา) ”

คาถาที่ 3 ว่า

“ ธรรมทั้งปวงไม่มีตัวตน (สฺพเพ ธฺมมา อนฺตตา) ”

ในที่นี้ควรจะได้สังเกตอย่างถี่ถ้วนว่า ในสองบาทแรกนั้นได้ใช้คำว่า “ สฺงขารา ” (สิ่งทั้งหลายที่มีปัจจัยปรุงแต่ง) แต่ในบาทที่ 3 ใช้คำว่า “ ธฺมมา ” แทน “ สฺงขารา ” เพราะเหตุใด ในคาถาที่ 3 นี้จึงไม่ใช้คำว่า “ สฺงขารา ” (สิ่งทั้งหลายที่มีปัจจัยปรุงแต่ง) ดังในสองคาถาแรก ? และเพราะเหตุใด จึงได้ใช้คำว่า “ ธฺมมา ” แทน ? จุดนี้คือประเด็นสำคัญของเรื่องนี้ทั้งหมด

คำว่า “ สฺงขารา ” หมายถึง ขันธ์ 5 คือสิ่งหรือสภาวะทั้งปวงที่มีปัจจัยปรุงแต่ง มีความเกี่ยวโยงกัน มีความสัมพันธ์ต่อกัน ไม่ว่าสิ่งหรือสภาวะนั้นจะเป็นส่วนที่เป็นกายภาพ หรือเป็นจิตก็ตาม หากว่าคาถาที่ 3 เกิดใช้ว่า “ สังขารทั้งปวง (สิ่งทั้งหลายที่มีปัจจัยปรุงแต่ง) ” คนก็อาจจะคิดว่า แม้ว่าสิ่งที่มีปัจจัยปรุงแต่งจะไม่มีอัตตา แต่ก็มีอัตตาอยู่นอกสิ่งที่มีปัจจัยปรุงแต่ง คือ นอกขันธ์ 5 เพื่อที่จะไม่ให้เกิดความเข้าใจผิดเช่นนี้จึงได้ใช้คำว่า “ ธฺมมา ” ในพระคาถาที่ 3

คำว่า “ ธฺมม ” กินความกว้างกว่าคำว่า “ สงขาร ” ไม่มีคำศัพท์ในทางพุทธศาสนา ศัพท์ใดกินความกว้างไปกว่าคำว่า “ ธฺมม ” คำว่า “ ธฺมม ” นี้กินความรวมถึงไม่แต่เพียงสิ่งหรือสภาวะที่มีปัจจัยปรุงแต่งเท่านั้น แต่ยังรวมไปถึงพระนิพพานที่ไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง และเป็นสภาวะสมบูรณ์แบบอีกด้วย ไม่มีสิ่งใดในจักรวาลหรือนอกจักรวาลไม่ว่าเป็นสิ่งดีหรือสิ่งเลว ไม่ว่าเป็นสิ่งมีปัจจัยปรุงแต่งหรือไม่มีปัจจัยปรุงแต่ง ไม่ว่าเป็นสิ่งมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกัน หรือมีอิสระสมบูรณ์ ที่ไม่รวมอยู่ในคำว่า “ ธมม ” ดังนั้น จึงเป็นที่กระจ่างชัดว่าในข้อความที่ว่า “ ธรรมทั้งปวงไม่มีตัวตน ” นี้ หมายความว่า ไม่มีตัวตน ไม่มีอาตมัน ไม่แต่เพียงในขันธ์ 5 เท่านั้น แต่ยังรวมถึงไม่มีในที่อื่นใดภายนอกขันธ์ 5 หรือนอกเหนือขันธ์ 5 อีกด้วย

เมื่อว่าตามคำสอนของฝ่ายเถรวาทแล้ว ข้อนี้หมายความว่าไม่มีอัตตา ทั้งในบุคคล (ปุทคล) หรือในธรรมทั้งหลาย ส่วนปรัชญาพุทธศาสนาฝ่ายมหายาน ก็มีจุดยืนในประเด็นนี้ตรงกัน ไม่มีความผิดแผกแตกต่างกันแม้แต่น้อย ดังฝ่ายมหายานได้ย้ำไว้ว่า “ ธรม – ไนราตมยะ ” และ “ ปุทคล – ไนราตมยะ ”

อลคัททูปมสูตร

ใน อลคัททูปมสูตรแห่งมัชฌิมนิกาย พระพุทธเจ้าได้ตรัสกับบรรดาสาวกว่า “ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เธอทั้งหลายจงยอมรับทฤษฏีอัตตา (อตตวาท) เถิด หากในการยอมรับนั้นไม่ก่อให้เกิดความโศก ความร่ำไร รำพัน ความทุกข์ ความโทมนัส และความคับแค้นใจ ดูกรภิกษุทั้งหลาย แต่เธอทั้งหลายเคยเห็นทฤษฏีอัตตาที่เมื่อยอมรับแล้วจะไม่ก่อให้เกิดความโศก ความร่ำไร รำพัน ความทุกข์ ความโทมนัส และความคับแค้นใจบ้างไหม ?”

“ ไม่เคยเห็นเลย พระเจ้าข้า ”

“ ดีละ ภิกษุทั้งหลาย ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราเองก็เช่นเดียวกันยังไม่เคยเห็นทฤษฏีอัตตาใดที่เมื่อยอมรับแล้ว จะไม่ก่อให้เกิดความโศก ความร่ำไรรำพัน ความทุกข์ ความโทมนัส และความคับแค้นใจ ”

ถ้ามีทฤษฏีอัตตาใดที่พระพุทธเจ้าทรงยอมรับ พระองค์ก็คงจะอธิบายไว้ ณ ที่นี้แน่ ๆ เพราะพระองค์ทรงขอให้ภิกษุทั้งหลายยอมรับทฤษฏีอัตตาที่ไม่ก่อทุกข์นั้นได้ แต่ในทัศนะของพระพุทธเจ้าไม่มีทฤษฏีอัตตาเช่นนี้ และทฤษฏีอัตตานี้ ไม่ว่าจะเป็นทฤษฏีใด มีความละเอียดอ่อนขนาดไหน ต่างก็เป็นทฤษฏีที่ผิดพลาด และเกิดจากการจินตนาการเอาเองทั้งนั้น ก่อให้เกิดปัญหาทุกชนิด ก่อให้เกิดความโศก ความร่ำไรรำพัน ความทุกข์ ความโสมนัส และความคับแค้นใจ และความเดือดร้อน

พระพุทธเจ้าตรัสต่อไปในพระสูตรเดียวกันนั้นว่า

“ ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อไม่มีอัตตาและไม่มีสิ่งใดมีอัตตา ที่สามารถค้นพบได้จริงแท้ ทัศนะที่เกิดจากการคาดหมายที่ว่า “ จักรวาล คือ อาตมัน (วิญญาณ) หลังจากตายแล้ว เราจะเป็นอัตตานั้น ซึ่งถาวรยั่งยืน มั่นคง ไม่เปลี่ยนแปลง และเราจะดำรงอยู่เช่นนั้นชั่วนิจนิรันดร์ ” ทัศนะนั้นจะไม่เป็นทัศนะที่งี่เง่าไปทั้งหมดดอกหรือ ?”

ตรงนี้เองที่พระพุทธเจ้าตรัสอย่างชัดแจ้งว่า อาตมันวิญญาณหรือตัวตนที่แท้จริง ไม่สามารถหาพบได้ในที่ใด และเป็นความงี่เง่าที่เชื่อว่า สิ่งเช่นนั้นมีอยู่

วิเคราะห์ “ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน ”

บรรดาผู้ที่ค้นหาอัตตาในคำสอนของพระพุทธเจ้า ได้อ้างจากตัวอย่างบางแห่ง ซึ่งครั้งแรกได้แปลกันไว้ผิด ๆ แล้วก็เลยตีความกันผิด ๆ ตามไปด้วย ตัวอย่างหนึ่งซึ่งเป็นที่รู้จักกันดีมาจากคาถาธรรมบท (บทที่ 12 คาถาที่ 4 หรือคาถาที่ 160) ความว่า “ อตตา หิ อตตโน นาโถ ” ซึ่งแปลกันไปว่า “ อัตตาเป็นนายของอัตตา ” แล้วก็ตีความหมายว่า “ อัตตาใหญ่เป็นนายของอัตตาเล็ก ”

ประการแรกนั้น การแปลเช่นนี้ไม่ถูกต้อง “ อตตา ” ในที่นี้ไม่ได้หมายถึงอัตตาในแง่ที่เป็นวิญญาน ในภาษาบาลี คำว่า “ อัตตา ” โดยทั่วไปใช้เป็นสัมพันธสรรพนาม หรือ อนิยมสรรพนาม จะมียกเว้นอยู่บ้างก็ในกรณีที่ใช้ในความหมายพิเศษในเชิงปรัชญาในส่วนที่เกี่ยวกับทฤษฏีอัตตา ดังกล่าวมาแล้วข้างต้น แต่ที่ใช้โดยทั่ว ๆ ไปดังเช่นในธรรมบท บทที่ 12 ในคาถาที่ยกมาเป็นตัวอย่างข้างต้นและในที่อื่น ๆ อีกหลายแห่ง “ อัตตา ” ใช้เป็นสัมพันธสรรพนามหรืออนิยมสรรพนาม หมายถึง “ เราเอง ” “ ท่านเอง ” “ เขาเอง ” “ บุคคล ” “ บุคคลนั้นเอง ”

ประการต่อมา คำว่า “ ที่พึ่ง ” “ สนับสนุน ” “ ช่วยเหลือ ” “ คุ้มครอง ” ดังนั้น “ อตตา หิ อตตโน นาโถ ” จึงมีความหมายที่แท้จริงว่า “ ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนเอง ” “ ตนช่วยเหลือตนเอง ” หรือ “ ตนสนับสนุนตนเอง ” หมายความว่า “ ท่านจะต้องพึ่งตนเอง อย่างไปพึ่งคนอื่น ”

มหาปรินิพพานสูตร

อีกตัวอย่างหนึ่งที่แสดงให้เห็นว่า มีการพยายามที่จะนำเอาความเห็นว่ามีอัตตามาแทรกไว้ในคำสอนของพระพุทธเจ้า คือพระดำรัสที่รู้จักกันดีว่า “ อตตทีปา วิหรถ อตตสรณา อนญญสรณา ” ซึ่งคัดมาจากเนื้อเรื่องใน มหาปรินิพพานสูตร วลีที่ยกมานี้แปลโดยพยัญชนะว่า “ เธอทั้งหลายจงอยู่อย่างทำตนให้เป็นเกาะ ทำตนให้เป็นที่พึ่ง อย่าทำคนอื่นให้เป็นที่พึ่ง ” บรรดาผู้ที่ต้องการเห็น “ อัตตา ” ในพระพุทธศาสนาได้ตีความคำ “ อตตทีปา ” และคำ “ อตตสรณา ” ว่า “ ยึดอัตตาเป็นประทีป ” และ “ ยึดอัตตาเป็นที่พึ่ง ”

เราจะไม่สามารถเข้าใจความหมายที่สมบูรณ์ และความสำคัญของพุทธโอวาทที่ประทานแก่พระอานนท์นี้ได้ หากไม่ได้พิจารณาถึงภูมิหลังและเนื้อเรื่องซึ่งเป็นที่มาของพุทธดำรัสเหล่าน

เมื่อทรงประทานพระโอวาทเหล่านี้ พระพุทธเจ้าประทับอยู่ที่หมู่บ้านแห่งหนึ่งชื่อ “ เพลุวะ ” อยู่ในช่วง 3 เดือนก่อนปรินิพพาน ขณะนั้น พระองค์ทรงมีพระชนมายุได้ 80 พรรษา กำลังประชวรด้วยโรคร้ายแรงชนิดหนึ่ง จนเกือบจะสิ้นพระชนม์ แต่พระองค์ทรงดำริว่ายังไม่เป็นการสมควรที่พระองค์จะปรินิพพานจนกว่าจะได้กระจายข่าวไปให้บรรดาสาวกที่ใกล้ชิดกับพระองค์ได้รู้เสียก่อน ดังนั้น ด้วยน้ำพระทัยที่กล้าหาญและเด็ดเดี่ยว พระองค์จึงทรงอดกลั้นทุกขเวทนาทั้งหลายทั้งปวงได้ ต่อมาพระอาการประชวรก็ดีขึ้น และได้ทรงหายจากประชวรในที่สุด แต่พระพลานามัยของพระองค์ยังไม่ค่อยดีนักหลังจากทรงหายจากประชวรแล้ว ในวันหนึ่งพระองค์ได้ไปประทับนั่งที่ใต้ต้นไม้ต้นหนึ่ง นอกที่ประทับ พระอานนท์ พุทธอุปัฏฐาก ได้เข้าไปเฝ้าพระปิยบรมครู นั่ง ณ ที่ควรส่วนข้างหนึ่ง แล้วกราบทูลว่า

“ ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์ได้ถวายการดูแลพระพลานามัยของพระผู้มีพระภาค ข้าพระองค์ถวายการอุปัฏฐากแด่พระผู้มีพระภาคเมื่อประชวร แต่เมื่อข้าพระองค์ได้เห็นพระอาการประชวรของพระผู้มีพระภาค ขอบฟ้าปรากฏมืดมัวแก่ข้าพระองค์ อินทรีย์ทั้งหลายของข้าพระองค์ไม่กระจ่างชัดอีกต่อไป กระนั้นก็ตาม ข้าพระองค์ก็มีความเบาใจอยู่หน่อยหนึ่ง ข้าพระองค์คิดว่าพระผู้มีพระภาคจะไม่ทรงปรินิพพานจนกว่าจะได้ประทานโอวาทแก่ภิกษุสงฆ์ ”

ลำดับนั้น พระพุทธเจ้าผู้ทรงประกอบด้วยพระกรุณาปรานีตรัสกับพระอานนท์พุทธอุปัฎฐาก ด้วยพระวาจาสุภาพอ่อนโยนว่า “ ดูกรอานนท์ ภิกษุยังจะหวังอะไรจากเราเล่า ? เราได้แสดงธรรม (สัจธรรม) ไว้แล้ว โดยไม่ทำความแตกต่างระหว่างสิ่งเปิดเผยกับสิ่งเร้นลับ ในส่วนที่เกี่ยวกับสัจธรรมนั้น ตถาคตไม่มีอะไรที่เหมือนกำมือของอาจารย์ (อาจริยมุฏ.ฐิ) ดูกรอานนท์ หากจะมีผู้ใดคิดว่า เขาจักบริหารภิกษุสงฆ์ได้ และคิดว่าภิกษุสงฆ์จักพึ่งเราได้ก็ขอให้ผู้นั้นกล่าวคำแนะนำอย่างใดอย่างหนึ่งออกมาแต่ตถาคตไม่ได้มีความคิดเช่นนั้น เพราะเหตุใดเขาจึงจะต้องให้คำแนะนำเกี่ยวกับการบริหารภิกษุสงฆ์เล่า ? ดูกรอานนท์ บัดนี้เราแก่เฒ่าแล้ว วัยของเราเป็นมาถึง 80 ปีแล้ว เกวียนเก่ายังจะใช้การได้ต่อไปด้วยการซ่อนแซมฉันใด กายของตถาคตก็ฉันนั้นเหมือนกัน ยังจะเป็นไปได้ก็แต่เพียงด้วยการซ่อมแซมเท่านั้น ดูกรอานนท์ ดังนั้น พวกเธอทั้งหลายจงอยู่ด้วยการทำตนเป็นเกาะ (สนับสนุน) ทำตนเป็นที่พึ่งอย่าทำผู้อื่นเป็นที่พึ่งเลย จงทำธรรมะเป็นเกาะ (สนับสนุน) ทำธรรมะเป็นที่พึ่ง อย่าได้ทำสิ่งใดเป็นที่พึ่งเลย ”

สิ่งที่พระพุทธเจ้าต้องการแสดงแก่พระอานนท์ เป็นที่ปรากฏแจ่มชัด คือ พระอานนท์มีความเศร้าโศกเสียใจ เพราะคิดว่าพระภิกษุสงฆ์จะอยู่อย่างโดดเดี่ยว ไม่มีที่พักพิง ไม่มีที่พึ่ง ไม่มีผู้นำ หลังจากพระบรมครูของพวกตน ทรงปรินิพพานเสียแล้ว ดังนั้น พระพุทธเจ้าจึงประทานคำปลอบใจ คำให้กำลังใจ และความมั่นใจแก่พระอานนท์ โดยตรัสว่าภิกษุสงฆ์พึงพึ่งตนเอง พึ่งพระธรรมที่ทรงแสดงไว้แล้ว และไม่พึ่งบุคคลใดหรือสิ่งอื่นใด ดังนั้น ปัญหาในเรื่องอาตมันหรือตัวตน ซึ่งเป็นเรื่องทางอภิปรัชญาจึงอยู่นอกประเด็นในที่นี้

นอกจากนั้น พระพุทธเจ้ายังได้ทรงอธิบายแก่พระอานนท์ถึงวิธีการที่จะทำให้คนเราสามารถมีตนเป็นเกาะหรือเป็นที่พึ่ง และวิธีการที่คนเราจะสามารถทำพระธรรมให้เป็นเกาะหรือที่พึ่งได้ ทั้งนี้โดยการเจริญสติปัฏฐาน 4 คือ กายานุปัสสนา เวทนานุปัสสนา จิตตานุปัสสนา และธัมมานุปัสสนา ไม่มีการพูดถึงอาตมัน หรืออัตตาไว้ ณ ที่นี้เลย

Tee Padungsak
Tee Padungsak

Written by Tee Padungsak

บทความที่ลง เป็นบทความที่ไม่ได้เขียนขึ้นเอง เป็นการนำบทความที่มี่ความสนใจส่วนตัวมารวบรวมไว้อ่าน แล้วเก็บไว้ทบทวน ในทุกบทความจะมีเครดิตของแหล่งที่มาไว้ทุกอันครับ

No responses yet