ข้อผิดพลาดที่เห็นผู้หญิงมักจะทำเวลาพยายามจะลดความอ้วน
.
นี่คือจากที่เขียนบทความใน Facebook นี้ล้วนๆเลยนะคะ ซึ่งแน่นอนมันต้องมีข้อยกเว้นกันบ้าง และก็ไม่ใช่ทุกคนที่เป็น แต่อยากจะให้ไว้เป็นเช็คลิสท์ว่าเราตกอยู่ในหัวข้อเหล่านี้หรือบ้างหรือเปล่านะคะ ถ้าตกอยู่ก็แก้ซะ ถ้าอยากหุ่นดีนะคะ
.
1. เทรนไม่หนักพอ
.
ยิ่งกว่าเจอบ่อยอีกข้อนี้ เหมือนกลัวเหนื่อย เหมือนคิดว่าถ้าเทรนหนักแล้วจะเจ็บ การเทรนหนักไม่ใช่ระยะเวลาในการเทรน ไม่ใช่เพิ่มจาก 1 ชั่วโมงเป็น 1 ชั่วโมงครึ่ง แล้วออกแบบเบาๆไปถ่ายรูปไป
.
ถ้าใครสามารถออกกำลังกาย แล้วคุยไปได้ด้วยเนี่ยไม่หนักบอกเลย ดังนั้นเวลาให้คำนวณปริมาณอาหารแล้วใช้ระยะเวลาในการเทรน บ่อยครั้งเลยที่ไม่ตรงแล้วก็ไม่ผอมสักที เพราะการคำนวณเรานั้นต้องใช้ความหนักในการออกกำลังกายเข้ามาด้วย ไม่งั้นมันจะกลายเป็นเหมือนกับแค่ขยับไปวันวัน ซึ่งเป็นสิ่งที่มนุษย์ทั่วไปควรจะทำอยู่แล้ว คือต้องเคลื่อนไหวอ่ะค่ะ แล้วจะเอาสูตรอาหารที่คำนวณแบบนักกล้ามที่ออกกำลังกาย 1 ชั่วโมงเท่ากันมาใช้ มันไม่ได้
.
ถ้าจะอธิบายแบบเจาะให้ชัด เวลายกเวทเนี่ย เราจะต้องมีจุดประสงค์ในการยกน้ำหนักที่หนักที่สุดที่เราสามารถยกได้ ตามจำนวนที่กำหนด เช่น 12 ครั้ง หรือถ้าน้ำหนักที่เราจะใช้มีคนอื่นใช้อยู่ เอาให้ง่ายที่สุด ก็คือลดจำนวนครั้งที่ยกลง แล้วใช้น้ำหนักที่หนักกว่าเดิมเคยใช้ ไม่ใช่ยืนแช่จ้องเค้าอยู่ยังงั้น รอใช้ ของอย่างนี้มันเปลี่ยนกันได้
.
คือเราต้องใช้กล้ามจริงๆในการยก ส่งให้ใหญ่กล้ามเนื้อมันกระเทือนบ้าง คือมีการฉีดขาดเพื่อสร้างใหม่ ทีนี้ถ้าเราแค่ขยับไปวันวัน มันก็จะไม่ฉีกขาด มันแค่เป็นการขยับมากขึ้นจากปกติเท่านั้นเอง
.
หลักคือ มันต้องหนักกว่าการขยับในชีวิตประจำวัน ไม่ใช่มาขยับซ้ำๆแล้วนับว่า นั่นคือการออกกำลังกาย มันไม่ใช่ค่ะ ถ้าเท่านี้ไม่เคลียร์ก็ไม่รู้จะพูดยังไงแล้ว
.
คือเราต้องใส่ความสามารถเข้าไปในการยกจนสุดความสามารถ ซึ่งส่วนใหญ่ถ้าจะทำอย่างนั้นได้ก็ควรที่จะมีเทรนเนอร์ที่จะผลักดันเรา ถึงได้เห็นผลเร็วกว่ามนุษย์ทั่วไปไงคะ แต่ถ้าเรามีความสามารถในการกดดันตัวเอง และรู้ท่าออกกำลังกาย ก็ไม่จำเป็น
.
อีกอย่างหนึ่งคือไม่ต้องมองคนรอบข้างหรอกค่ะ ไม่ต้องสนใจว่าใครทำอะไรอยู่ที่ไหน โฟกัสที่ตัวเราเองพอ ฟังเพลงก็ได้ ไม่ใช่ไปยืนค่อนชะนีข้างๆ เทียบเรา เทียบเค้า
.
โฟกัสกับตัวเอง แล้วถามตัวเองว่า วันนี้เราเหนื่อยแทบตายหรือยัง ส่วนใหญ่นะคะสำหรับมือใหม่ เวลาใช้คำว่าเหนื่อยแทบตายเนี่ย ไม่ได้ค่อนของพวกที่เค้าออกกำลังกายมานานเลย คือเผลอๆยังโซน 3 แก่ๆอยู่
.
2. ใจร้อนไม่ให้เวลาตัวเองที่จะผอม
.
ออกกำลังกายวันนี้ หวังว่าพรุ่งนี้จะผอม ออกกำลังกายมาสองอาทิตย์แล้วไม่เห็นผลเลย ได้ยินบ่อย ไม่ได้โม้
.
เอานี้นะคะ ตามมาตรฐานเมืองนอก ที่เห็นทั่วไปนะคะ พวกโมเดลเพราะกายขึ้นประกวดนี่ใช้เวลาประมาณ 12 ถึง 14 อาทิตย์ เป็นอย่างต่ำ ผู้หญิงนะคะ
.
คนเหล่านี้เริ่มต้นที่ไขมันประมาณ 18 ถึง 20%
แล้วก็ค่อยๆลดลงมาจนถึงประมาณ 8% -11 %
.
ถึงผู้หญิงทั่วไปตามท้องตลาดจะมีไขมันอยู่ประมาณ 20% - 25% แล้วมาเทียบกันว่า เราจะอยากหุ่นดีจากเกือบ 30%ของไขมัน โดยใช้เวลาสามเดือนได้หรือไม่ คิดเอาเอง พวกโมเดลพวกนี้เริ่มต้นเค้าก็ต่ำกว่าเราอยู่แล้ว ยังใช้เวลาขนาดนั้น เราไม่ใช่ว่าเค้ามีข้ออ้างนู่นนี่นั่น เราใช้เวลาขนาดนั้น แล้วเค้าใช้วินัยขนาดไหน ตรงนั้นถ้าเราขอ 12 อาทิตย์ให้หุ่นดีเจ๋ง เราฝันไปหรือเปล่า
.
เท่าที่เห็นหลังจาก 4-6 อาทิตย์ ก็เริ่มหวั่นไหวต่อชานมไข่มุกแล้ว นับประสาอะไร ถ้าความสม่ำเสมอเรามีไม่เกินหกอาทิตย์
.
เอาเข้าจริงนะคะ สม่ำเสมอ 4-6 เดือน เป็นอย่างต่ำยังจะมีหวังมากกว่า อย่างน้อยก็ใกล้เคียงเป้าหมาย แล้วก็ทุ่มเทมีวินัยนะคะ นี่คือเรื่องจริงความจริง ไม่อยากโกหก
.
3. เทรนตามเพื่อน
.
แล้วเพื่อนเรานี้มักจะเป็นพวกที่ ออกกำลังกายแบบเบาๆ เพส 8 เวท 3 กิโล มาตั้งแต่ปีที่แล้ว แล้วก็เป็นคนที่ไม่ได้เห็นผลอะไรชัดเจน เป็นระยะเวลานาน คือเห็นเป็นช่วงๆ ซึ่งอาจจะเป็นช่วงที่อดอาหารแบบโยโย่ แล้วก็ขึ้นมาใหม่ตามมีตามเกิด
.
เข้าใจค่ะว่าเวลาไปตรงบริเวณยกน้ำหนัก เราเป็นผู้หญิงมันดูน่ากลัว เราเดินไปนั่งแปะแล้วปั่นจักรยานไปหวังว่าจะไม่มีใครมองเห็นเรา เห็นค่ะ เห็นว่าเราไม่เปลี่ยนเลยมาตั้งหลายเดือนแล้ว ยังนั่งปั่นอยู่ได้ อย่างไม่สะทกสะท้าน เหมือนไม่มีเวลามองกระจก ว่าเราไม่ได้เปลี่ยนอะไรเลย
.
ยังจะดีซะกว่าถ้าอุทิศหนึ่งเดือนแรกในการสอนตัวเอง หรือเรียนการยกน้ำหนักแบบง่ายๆ ทำท่าเบสิกนั้นแหละ เอาให้ดีแล้วเพิ่มน้ำหนัก บอกแล้วว่าโฟกัสที่ตัวเราคนเดียว ใครจะมีกล้ามล้อมรอบเราบริเวณนั้นก็ไม่ต้องสน จะมองมองเลย เชื่อนะคะว่า ผ่านไปสองอาทิตย์ สายตาที่มองจะเป็นมิตรขึ้น อย่างน้อยเราก็จะทนทานกับสายตาได้ดีขึ้น จะมีใครมาสอนเราก็ได้ เอาสิ อย่างน้อยเค้าก็เห็นว่าเราลองและพยายาม น่าเอ็นดูกว่าเยอะ
.
4. ล้อมรอบตัวเองไปด้วยเพื่อนที่ไม่ยอมลดน้ำหนัก
.
แล้วก็อยู่มันในโซน ที่เรียกว่าคอมฟอร์ทโซนอยู่นั่นแหละ ทำไมหรอคะ ที่นั่นมันอบอุ่นอะไรขนาดนั้น กินไปเทรนไปงี้
.
บางครั้งคนเรานั้นจะหมั่นไส้ คนที่พยายามมากๆ คือเหมือนกับอิจฉาปนความรู้สึกเหมือนโดนข่ม ว่าคนที่เค้าพยายามและหุ่นดีนั้นเวอร์มากไปบ้าง
.
มันเป็นความจริงของชีวิตนะคะ ไม่ใช่เฉพาะเรื่องออกกำลังกายหรอก ส่วนใหญ่คนที่ออกไปจากโซนสบายนี่แหละ จะประสบความสำเร็จ มากกว่าคนอื่น
.
อยู่กับคนที่เทรนหนักสิคะ ให้เค้าลากเราไปด้วย ให้เราทั้งชื่นชมเขาและอยากเป็นอย่างเขา ตัวอย่างเขา
.
5. พยายามจะแทรกเวลาออกกำลังกายและการเตรียมอาหารเข้าไปในเวลาที่เหลือในแต่ละวัน
.
อันนี้เห็นบ่อย ถ้าเราอยากหุ่นดี ไม่ใช่ว่าเราเอาเวลาว่างที่ไม่มีอะไรทำ มาออกกำลังกาย เพราะคนที่เขาประสบความสำเร็จนั้น เค้าเอาสิ่งนี้เป็นลำดับสำคัญข้างต้นในชีวิต ไม่ใช่ลำดับท้ายๆค่ะ
.
ถ้าเราไม่พร้อมที่จะทำแบบนั้น การหุ่นดีของเราก็จะอยู่ในลำดับท้ายๆ
.
แล้วจะทำยังไง
.
ข้อแรกเลยก็คือหัดนิสัยเตรียมอาหารในแต่ละอาทิตย์ เหมือนฝรั่งนั่นแหละค่ะ เค้าก็ทำกัน ปกติมาก เตรียมได้ตั้งแต่วันอาทิตย์เลย จะได้ไม่มีข้ออ้างว่าวันธรรมดาเราไม่มีเวลาหาอะไรดีดีกิน ไม่มีเวลากินข้าว นั่นคือข้ออ้างค่ะ ชีวิตฝรั่งหรือคนหุ่นดีมากมายก็มีการทำงานเหมือนกัน และก็ยุ่งพอๆกับเรานั่นแหละค่ะ ข้ออ้างเหล่านี้แค่แปลว่าเราไม่ตั้งใจมากพอแค่นั้นเอง
.
ออกกำลังกายก็เหมือนกัน ถ้าเราจะสับหลีกเวลาทำได้เสมอค่ะ เชื่อสิว่าถ้าชีวิตเราขึ้นอยู่กับสิ่งนั้น เราจะหาทางทำมันจนได้ ไม่ว่าจะตื่นเช้าขึ้นมาอีก 1 ชั่วโมง ก็จะทำ ถ้าเราต้องการมันมากพอ ส่วนใหญ่จะผลัดไปจนเลิกงาน ซึ่งเป็นเวลาที่เราเหนื่อยมาก แล้วก็เป็นเวลาที่เราอาจจะมีอย่างอื่นแทรกขึ้นมาได้ง่ายมาก โอกาสที่เราจะมีอะไรแทรกขึ้นมาตอนตีสี่ครึ่งนี้ค่อนข้างน้อย
.
6. ฟังเพื่อนในเรื่องโภชนาการ
.
ซึ่งเข้าใจดีค่ะว่าโภชนาการนั้นเป็นเรื่องที่น่าสับสน อ่านออนไลน์ก็ยิ่งไปกันใหญ่ เราถึงออกหนังสือไง เดี๋ยว!
.
แต่ละคนมีวิถีชีวิตที่แตกต่าง การขยับในแต่ละวันต่างๆเลย ไม่ต้องพูดถึงความหนักในการออกกำลังกายหรอกค่ะ ดังนั้นเอากรอบกว้างๆมาแล้วปรับให้เหมาะกับตัวเองดีกว่า
.
ไม่ใช่ว่าเพื่อนทำสำเร็จแล้วเราจะทำได้ เพื่อนอาจจะกินน้อยไปกว่าการเทรนของเราก็ได้ หรือเพื่อนออกกำลังกายคนละแบบกับเรา หรือเราอาจจะออกกำลังกายไม่หนักเท่าเพื่อน แล้วกินตามเขากลายเป็นอ้วนไปอีก
.
ศึกษาการกินแบบที่เราคิดว่าถูกใจที่สุด แล้วมาปรับให้เท่ากับการเทรนของเรา เราอาจจะต้องเพิ่มคาร์โบไฮเดรตถ้าออกกำลังกายแบบรุนแรงและหนักหน่วง และเราอาจจะต้องเพิ่มโปรตีนถ้าเราต้องการซ่อมกล้ามเนื้อและคิดว่าเราต้องการการซ่อมจากการเทรน
.
เนี่ย เขียนไปก็กลัวไปว่าจะบอกเรื่องมาก คือต้องบอกก่อนว่า ถ้าต้องการรูปร่างแบบทั่วไป เดินสยามได้ แบบ average ก็ไม่ต้องอะไรมาก แต่ถ้าอยากจะต้องการหุ่นดีขึ้นมาอีกขั้นหนึ่ง เราก็ต้องเอาสิ่งนี้ขึ้นมาอยู่ในลำดับต้นๆของชีวิต
.
อย่างมันอยู่ที่ว่าเราอยากได้มันแค่ไหนค่ะ
----------------------------
Chada Bowra, Level 3 Personal Training (YMCA)
(QCF) Diploma in (Advanced) Level 3 Personal Training (Gym-Based Exercise) (YMCA)
ENU (QCF) Nutrition for Exercise (YMCA)
Neuromuscular Techniques (Cert.) (NLSSM)
Biomechanical Analysis, Gait Re-education and Exercise Based Rehab Coaching
www.Befitandeatwell.com
.
กดติดตามบทความโภชนาการและการออกกำลังกายที่หลากหลายได้ที่
Facebook: https://m.facebook.com/Befiteatwell/