เกิดอะไรกับร่างกาย | เมื่อคุณวิ่งมาราธอน

Tee Padungsak
2 min readOct 5, 2018

เกิดอะไรกับร่างกาย | เมื่อคุณวิ่งมาราธอน
ชนิดกิโล-ต่อ-กิโล
.
.
42.195 เป็นทั้งความฝันและปริศนาในคราวเดียวกัน
เพื่อนๆ รอบตัว รุ่นพี่ รุ่นน้องที่น่ารักรอบตัว มักสงสัยใคร่รู้ในเรื่องนี้…มาราธอนนี้แปลก นักวิ่งที่เคยผ่านมาแล้วอธิบายได้เป็นฉากๆ
แต่คนที่ยังไม่เคย ไม่ว่าจะฟังข้อมูลมามากเท่าไหร่ก็ยังไม่พอ
ให้สะกดความตื่นเต้นและความไม่รู้นั้นได้
.
ต่อเรื่องนี้
ดร.จอห์น เบรเวอร์ (John Brever) ผู้เชี่ยวชาญด้าน Sports Science
ม.เซ้นส์แมรี่ในอังกฤษ ผู้นั่งเก้าอี้เป็นที่ปรึกษาด้านสุขภาพในลอนดอนมาราธอน และเคยผ่านการวิ่งสนามเมืองผู้ดี มามากถึง 19 ครั้ง (!)
ได้เก็บข้อมูลประมวลผลเรื่องร่างกายนักวิ่งในการวิ่งมาราธอน ไมล์ต่อไมล์
“What happens to your body when you run a marathon a Mile- by-Mile Breakdown”
.
และเช่นเดิมแอดขอออกตัวก่อนว่า
สถานการณ์จริงในมาราธอนของนักวิ่งแต่ละคน
ย่อมแตกต่างกัน ดิ้นไปตามปัจจัยของร่างกาย
-เป้าหมายเวลา-การซ้อมรวมถึงประสบการณ์

. . .

. . .

การวิ่งมาราธอนแต่ละครั้งสร้าง “ภาระครั้งใหญ่หลวง” ให้กับร่างกาย
ตลอดระยะทางมีจำนวนการก้าวมากถึง 52,000–55,000 ก้าว
แตกต่างสิ้นเชิงจากชีวิตประจำวันที่เราก้าวกันอยู่ราวๆ 7- 8 กม. หรือเฉลี่ย 8,000 ก้าวต่อวัน
.
เมื่อปล่อยตัวไป นักวิ่งต้องเคลื่อนที่ต่อเนื่อง 4–5 ชั่วโมง
ร่างกาย จิตใจ จำเป็นต้องผ่านการเตรียมรับสถานการณ์ที่หนักหน่วง
มาราธอนจึงเป็นกีฬาที่ต้องอาศัยความทนทานของร่างกายหลายๆ ส่วน
.
แต่ในอีกด้านหนึ่ง,ร่างกายมนุษย์มีความมหัศจรรย์
เขาสามารถเรียนรู้ ปรับตัว พัฒนา “รับงาน” มาราธอนได้
หากเราส่งมอบแผนการฝึกซ้อมให้กับร่างกายและจิตใจ
นักวิ่งคนนั้นๆ จะได้รับรางวัลพิเศษที่เส้นชัยอย่างเต็มภาคภูมิ

ทุกปีมีนักวิ่งนับล้านๆ คนทั่วโลกใช้ชีวิตไปกับมาราธอนอย่างไมรู้เบื่อ
เป็นหลักประกันทางสุขภาพและความเชื่อมั่นในตัวเองชั้นยอด
แต่มันเกิดอะไรขึ้นในแต่ละกม.ผมจะเล่าให้พวกคุณฟังอย่างช้าๆ

💢 กม.1 — กม.6
-คุณออกจากจุดสตาร์ท มีความกังวล อัตราการเต้นของหัวใจจึงสูงกว่า 150 ครั้ง/นาที
— แต่ส่วนใหญ่นักวิ่งหน้าใหม่มักโฟกัสกับสิ่งแวดล้อมใหม่ของสนาม มากกว่าการลงรายละเอียดการวอร์มก่อนวิ่ง
-เมื่อคุณออกวิ่งไปร่างกายจะอุ่นขึ้นเริ่มเสียเหงื่อ ท่าทางการวิ่งของคุณยังคงดูดี
— ผ่าน 30 นาทีแรกไป นักวิ่งได้รับสารเอนโดรฟินน์ครั้งแรก ลดความประหม่าลง เป็นช่วงที่คุณฮึกเหิมเริ่มสนุกกับสนาม
— การออกสตาร์ทที่มีคุณภาพ คือ ควบคุมฮาร์ทเรทได้ดี มีกล้ามเนื้อที่ผ่านการวอร์มให้พร้อมรับการงานทางไกล

💢 กม. 6- กม.12
— อุณหภูมินักวิ่งสูงขึ้นเฉลี่ย 2 C’ มีความร้อนสะสม
— จอห์น เบรเวอร์ บอกผู้อ่านว่าโดยเฉลี่ยในกม.ที่ 12 หรือ การวิ่งใน 1 ชม.แรกนี้ร่างกาย เริ่มมีการคายน้ำ-dehydration 2 ลิตร โดยประมาณ
— การสูญเสียปริมาณเหงื่อขึ้นอยู่กับน้ำหนักตัว อุณหภูมิวันแข่ง ลักษณะเรียบหรือชันของสนาม
— นักวิ่งจำต้องชดเชยปริมาณน้ำที่ร่างกายสูญเสียไป และเพื่อคลายการเต้นของหัวใจลง
— แม้จะอยู่ในเส้นทางที่ยังเนื่องแน่นไปด้วยฝูงชน *อย่าลืมบริหารการดื่มน้ำตามจุดบริการ เพราะนี่คือคีย์ความสำเร็จให้ร่างกายวิ่งต่อไปได้ราบรื่น

💢 กม.12-กม.21
— นักวิ่งใช้พลังงานแล้วราวๆ 900–1,200 แคลอรี่ ในการมาถึงครึ่งทาง
— คุณต้องเริ่มรับมือกับพลังงานที่พร่องลง ด้วยอาหารประเภท เจลให้พลังงาน หรืออื่นๆ ตามจุดบริการ
— จุดครึ่งทางนี้กล้ามเนื้อที่ใช้มาต่อเนื่อง มีบางจังหวะที่เร่ง การหายใจถี่ๆ รัว ทำให้ร่างกายเกิดการสะสมของกรดแลคเตท (lactate) ที่ส่งผลให้คุณล้า (Fatigue) ตามกล้ามเนื้อ
— เห็นได้ชัดว่า การวิ่งด้วยสปีดเท่าเดิมแต่เริ่มออกขาวิ่งได้ยากกว่าเดิม อาการนี้เริ่มเข้ามา
— หากเคยมีอาการเจ็บที่ใด โจทย์เก่าคู่กรณีเริ่มออกโรงมาชวนทะเลาะ
ฃ- สำหรับจิตใจ Can Do Attitude หรือทัศนคติว่าคุณทำได้ (!) เป็นเรื่องที่ประทับความคิดไว้ได้เลยจากนี้ไปของจริงแล้ว
— ทั้งนี้อย่าลืมประเมินอาการเจ็บที่เข้ามาด้วยละ ถ้าเจ็บต้องไม่ฝืน

💢 กม.21 — กม. 27
-ก่อนเข้ากม.30 เป็นหลักกิโลที่สำคัญ ไกลโคเจน (Glycogen) ที่เป็นแหล่งพลังงาน เริ่มขาดสต็อก
-นักวิ่งจำเป็นต้องเติมพลังงานใหม่เข้าไปอย่างสม่ำเสมอไม่รอให้ขาด เพราะช่วงนี้หิวและงอแงได้
— บางกรณี เกิดเรื่องการเสียดสีกันภายใต้ร่มผ้า ข้อพับ จะด้วยเหงื่อ ความร้อน นักวิ่งจะปวดแสบปวดร้อนจนเป็นแผลถลอกได้
-สัญญาณไม่ดี คือ คอแห้งผาก ตาฟ่า ร่างกายวูบวาบ ร้อนๆ หนาวๆ ท่าวิ่งเริ่มไม่เป็นท่าวิ่ง ควรหยุดที่จุดให้น้ำที่ใกล้ที่สุดเพื่อพักหรือพบแพทย์
-อาการปวดเมื่อยตามส่วนต่างๆ เริ่มสำแดงชัดขึ้น

💢 กม.27 — กม.33
-ร่างกายเสียพลังงานกว่า 2,000 แคลอรี่ ถือว่าเยอะมาก เทียบเท่ากับพลังงานที่เราใช้ดำเนินชีวิต 1 วัน
— คุณสูญเสียน้ำไปกับเหงื่อไม่น้อยกว่า 4 ลิตร (ตามข้อเขียนของคุณจอห์น)
-หากไม่ดื่มน้ำหรือเติมพลังงานชดเชยให้เพียงพอ เป็นระยะที่นักวิ่งเสี่ยงต่อการเกิดความผิดปรกติของร่างกาย
-จอห์น บอกว่านี่เป็นช่วงเวลาที่ยากเย็นของนักวิ่งหน้าใหม่ เกิดความตึงเครียด วิตกกังวล ร่างกายถูกโจมตีด้วยความเหนื่อยล้า
มีความคิดด้านลบ และไม่สบอารมณ์ แนะนำให้ยิ้ม อย่าอยู่กับความคิดนี้ หันออกไปมองผู้คนรอบข้าง ฟังเสียงกองเชียร์
-แต่หากคุณซ้อมยาวมามากพอ คุณจะไปต่อได้ด้วยจังหวะที่ยิ่งทวีความสวยงาม ใน 10 กว่ากม.สุดท้าย ที่คุ้นเคยดี

💢 กม.33 — กม.40
— แร่ธาตุจำพวกโซเดียม โพแทสเซียม สูญเสียไปกับเหงื่อ เป็นตัวแปรเรียกแขกที่ไม่ได้รับเชิญ อย่าง “คุณตะคริว”
— นักวิ่งหลายคนเจอภาวะชนกำแพง หรือปิศาจกิโลเมตรที่ 35 เพราะปัจจัยเรื่องพลังงานจ่ายออก ไม่สัมพันธ์กับพลังงานจ่ายเข้า
— แต่เรื่อง Hit The Wall ยังไม่อาจด่วนสรุปว่าเป็นผลมาจากพลังงานอย่างเดียว เพราะมีปัจจัยอื่นร่วมด้วย เช่น สภาพอากาศ การขาดน้ำ โรคประจำตัว ฯลฯ
-นักวิ่งใช้กล้ามเนื้อในลักษณะเดิมมานาน ย่อมทำให้เกิดสารพัดอาการ การปรับท่าทางการวิ่งหรือสลับเดินมีส่วนช่วยให้ผ่อนคลาย
(ในกรณีมาราธอนแรก)
-หากซ้อมมาดี ทำตามแผนอย่างรัดกุม คุณอาจจะวิ่งไปเผลอน้ำตาไหล ร้องไห้ ว่ามาถึงจุดที่ไกลที่สุดแล้ว เสียงเชียร์จากเส้นชัยลอยมาในหู
-การควบคุม Heart Rate ให้อยู่เกณฑ์ปรกติ อาจเป็นกุญแจสำคัญให้นักวิ่งปรับความเร็วในช่วงท้ายได้
-แต่ทว่า เพซที่เคยวิ่งได้ง่ายๆ อาจไม่ใช่เรื่องง่ายเลยเมื่อถึงระยะนี้ มโนสำนึกเรื่องการซ้อมจะกลับเข้ามาในหัว

💢 กม.40-กม.42
-ร่างกาย (ผช.) เผาผลาญพลังงานไปเฉลี่ย 2,200–2,500 แคลอรี่- การชดเชยน้ำดื่ม เกลือแร่ และพลังงานที่ทำมาตลอดเส้นทางจะทำให้คุณวิ่งฉิ่วเข้าพรม
-นักวิ่งสูญเสียน้ำหรือเหงื่อไปเฉลี่ย 6 ลิตร ถ้าขึ้นตาชั่งน้ำหนักตัวคุณจะหายไป
-เกิดอากาปวดเมื่อยตามกล้ามเนื้อส่วนต่างๆ แต่ป้ายหลักกิโลเมตรที่ 40- 41 ย่อมทำให้ใจชื้นอีกนิดก็จบแล้ว

💢 F I N I S H L I N E

-เมื่อถึง “เส้นชัย” อาการหลั่งเอนโดรฟินน์มีความสุขล้นเอ่อ จะปกคลุมให้ลืมความเจ็บปวดที่รับมา “ชั่วคราว” (จากปสก.แอด คือ 1 ชม.)
-นักวิ่งควรรีบเปลี่ยนเสื้อผ้าที่แห้ง สะอาด และอบอุ่น ไม่ลืมการเติมโปรตีนสารอาหารเข้าไปภายในชั่วโมงนั้นทันที เพื่อซ่อมบำรุงร่างกาย
มีลำดับการยืดเหยียดกล้ามเนื้อ ที่ตึงไปหมด สำรวจว่ามีอะไรเจ็บจี๊ดไหม
เพื่อหาทางแก้ไขต่อไป
— บางรายมีไข้อ่อนๆ คืนแรกนี้ให้เข้านอนไวหน่อยเพื่อเข้าสู่กระบวนการ Recovery ฟื้นฟูร่างกาย

::: ยินดีกับเส้นชัยมาราธอน
ถึงตอนนี้คุณได้รับประสบการณ์ 42.195 มาเป็นของตัวเองแล้ว
บอกเล่าให้แอดทราบบ้างนะครับ :::

. . .

ว่ากันอย่างถึงที่สุด
บทความนี้เป็นเพียงไกด์ไลน์เพื่อให้เพื่อนๆ เห็นถึงการตอบสนองของร่างกายในมาราธอน ที่มาจากข้อมูลตั้งตรงของดร.จอห์น เบรเวอร์
แอดเองนำมาเรียงร้อยในสไตล์ของแอด
.
แอดอ่านเรื่องนี้แล้วไม่อยากเก็บไว้บนชั้นหนังสือเหงาๆ
จึงนำใจความสำคัญมาฝาก เพื่อการเตรียมที่ดีที่สุด
ในการวิ่งระยะไกลของชาว #รันนิ่งอินไซด์เดอร์
หากพอจะมีประโยชน์กับ “#มาราธอนแรก” ของใครสักคนจริงๆ
ผมดีใจมากเลย ด้วยความจริงใจเชียร์ทุกคน #เหนื่อยไปด้วยกัน

เรียบเรียงจาก
“Run Smart Using Science to Improve Performance and Expose Marathon Running’s Great Myths” (2017)

ภาพประกอบ | skyclick
#Marathon #วิ่ง #วิ่งมาราธอน #ซ้อมมาราธอน
#RunningInsider ติดต่อเพจคลิ๊ก inbox ได้เลย
_______________________________________________________

หากชื่นชอบบทความนี้ Like & Share Running Insider

ขอบคุณสำหรับทุกๆ กำลังใจครับ
©All rights reserved

Sign up to discover human stories that deepen your understanding of the world.

Free

Distraction-free reading. No ads.

Organize your knowledge with lists and highlights.

Tell your story. Find your audience.

Membership

Read member-only stories

Support writers you read most

Earn money for your writing

Listen to audio narrations

Read offline with the Medium app

Tee Padungsak
Tee Padungsak

Written by Tee Padungsak

บทความที่ลง เป็นบทความที่ไม่ได้เขียนขึ้นเอง เป็นการนำบทความที่มี่ความสนใจส่วนตัวมารวบรวมไว้อ่าน แล้วเก็บไว้ทบทวน ในทุกบทความจะมีเครดิตของแหล่งที่มาไว้ทุกอันครับ

No responses yet

Write a response